ท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลดวงดาวนับล้านโคจรอยู่ในวิถีของมันแต่มีเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้นที่ส่องแสงเจิดจรัดพอจะกำหนดทิศทางหรือบอกเล่าเรื่องราวแห่งชะตาของมวลมนุษย์โบราณจารย์กล่าวไว้ว่าชีวิตของสามัญชนถูกลิขิตไว้ในผืนดินแต่ชีวิตของผู้ยิ่งใหญ่ถูกจารึกไว้บนฟากฟ้าและบางทีอาจไม่มีที่ใดในโลกที่ความเชื่อนี้จะอย่างรากลึกเท่ากับดินแดนสุวรรณภูมิที่ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์และดวงดาวแห่งจักราศีผูกพันกันอย่างแนบแน่นเรื่องราว
ที่เราจะเล่าขาในวันนี้คือตำนานที่ยังมีลมหายใจของเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งผู้ซึ่งการประสูติของพระองค์ไม่ได้เป็นเพียงการถือกำเนิดของสายเลือดแห่งราชันแต่ยังเป็นการปรากฏขึ้นของดวงดาวดวงใหม่ที่ถูกทำนายว่าจะนำมาซึ่งแสงสว่างในมงยามที่มืดมนที่นี่คือเรื่องราวของสมเจ้าฟ้าสิริวนารีรัตน์ราชกัญญากับคำทำนายที่อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความมั่นคงแห่งราชบัลลังก์ไทยพุทธศักราช2530นักพระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิตการประสูติของพระธิดาใน
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามกุฎราชกุมารในขณะนั้นนำมาซึ่งความปีติยินดีแต่ในห้วงเวลาเดียวกันนั้นเองกระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลงก็ได้เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงันเรื่องราวในช่วงต้นพระชนชีพของพระองค์เปรียบดั่งภาพเขียนที่แต่งแต้มด้วยสีสันอันหลากหลายมีทั้งความสดใสแห่งการเป็นราชนิกุลและมีความซับซ้อนของโชคชะตาที่กำลังจะผลึกผันอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดเมื่อเมฆหมอกแห่งความเปลี่ยนแปลงได้เคลื่อนเข้าปกคลุมอย่างเต็มตัวนำมาซึ่งการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ที่ทำ
ให้เจ้าหญิงน้อยต้องทรงย้ายไปประทับยังต่างแดนพร้อมกับพระมารดาและพระเชษฐาท่ามกลางความเงียบและความห่วงใยของพสกนิกรชาวไทยในช่วงเวลานั้นหลายคนอาจคิดว่านี่คือบทอวสารของเรื่องราวแต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของตำนานบทใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมเพราะในขณะที่สายลมแห่งความผันผวนกำลังผลัดโหมอย่างรุนแรงที่สุดแสงแห่งความหวังก็ได้ปรากฏขึ้นจากที่ที่ไม่มีใครคาดคิดเรื่องราวได้ถูกเกล้าขาสืบต่อกันมาว่าท่ามกลางวิกฤตการและความไม่
แน่นอนนั้นได้มีคำทำนายจากโหหลวงผู้หนึ่งซึ่งได้คำนวณดวงพระชะตาของพระเจ้าหลานเธอพระองค์น้อยและได้พบความจริงอันน่าอัศจรรย์คำทำนายนั้นระบุชัดเจนว่าดวงพระชะตาของเจ้าหญิงพระองค์นี้แข็งแกร่งอย่างยิ่งและที่สำคัญที่สุดคือพระองค์ทรงเป็นผู้มีดวงค้ำชูราชวงศ์จักรีการดำรงอยู่ของพระองค์ในแผ่นแผ่นดินไทยนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อความมั่นคงและสวัสดิภาพของราชบัลลังก์คำทำนายนี้เปรียบดั่งเสียงกระซิบจากสรวงสวรรค์ที่ดังก้องไปถึง
เบื้องบนเป็นดั่งเข็มทิศที่ชี้ทางสว่างท่ามกลางพายุด้วยเหตุนี้การตัดสินใจครั้งสำคัญจึงเกิดขึ้นเจ้าหญิงน้อยจะต้องเสด็จในวัดกลับสู่มาตุภูมิกลับสู่อ้อมอกแห่งพระราชวงศ์จักรีเพื่อทรงเป็นดั่งสมอเรือที่คอยเหนี่ยวร้างให้เรือพระที่นั่งแห่งราชวงศ์ลำนี้ฝากคลื่นลมแห่งกาลเวลาต่อไปได้อย่างองอาจและมั่นคงการกลับมาของพระองค์จึงไม่ใช่เพียงการกลับบ้านของเด็กหญิงคนหนึ่งแต่เป็นการเดินทางกลับมาเพื่อแบกรับโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ที่ผูกพันกับ
อนาคตของทั้งสถาบันนักปราชญ์เคยกล่าวไว้ว่าโชคชะตามิได้อยู่ในดวงดาวแต่อยู่ในตัวของเราเองแต่สำหรับเรื่องราวของเจ้าหญิงสิริวรรณวรีนั้นดูเหมือนว่าโชคชะตาและตัวตนของพระองค์จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างมิอาจแยกจักได้การเสด็จในวัดประเทศไทยถาวรจึงเป็นมากกว่าแค่การทำตามคำทำนายแต่มันคือการเริ่มต้นของการพิสูจน์ให้เห็นว่าแสงจากดวงดาวที่ถูกลิขิตไว้นั้นจะส่องสว่างเจิดจ้าเพียงใดเมื่อได้รับการเจียรในด้วยพระวิริยอุตสาหะและความมุ่ง
มั่นของพระองค์เองเส้นทางชีวิตนับจากนี้ไปของพระองค์จึงกลายเป็นที่จับตามองของคนทั้งชาติว่าเจ้าหญิงผู้มีดวงชะตาแห่งการค้ำชูพระองค์นี้จะทรงนำพาสถาบันไปในทิศทางใดและคำทำนายในวันนั้นจะกลายเป็นความจริงที่ประจักษ์ชัดในวันนี้ได้อย่างไรนี่คือปฐมบทของมหากราบที่โชคชะตาได้เริ่มต้นบรรเลงขึ้นแล้วการเดินทางกลับสู่แผ่นดินแม่ของเจ้าหญิงพระองค์น้อยเปรียบได้กับการหวนคืนของสายน้ำสู่มหาสมุทรที่ให้กำเนิดแม้ภายนอกจะเป็นเพียงการเดินทาง
ข้ามทวีปของเด็กหญิงพระองค์หนึ่งแต่เบื้องหลังนั้นคือการเคลื่อนตัวของโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ดินแดนสยามได้อ้าแขนต้อนรับการกลับมาของพระองค์อีกครั้งไม่ใช่ในฐานะของผู้อพยพแต่ในฐานะของราชธิดาผู้มีดวงชะตาผูกพันกับอนาคตของชาติสู่พระบรมมหาราชวังที่ซึ่งทุกย่างก้าวคือประวัติศาสตร์และทุกกำแพงคือประจักยานแห่งกาลเวลาที่แห่งนี้เองที่บทเรียนแห่งชีวิตบทใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นภายใต้ร่มพระบารมีของสพระมิ่งขวัญผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดนั่นคือสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระ
บรมราชินีนาถพระบรมราชชนนี้พันปีหลวงและพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิผู้ทรงเป็นดั่งพระอาทิตย์และพระจันทร์ที่คอยโอบอุ้มและสาดส่องแสงนำทางให้แก่พระองค์ชีวิตในพระบรมหาราชวังคือการหล่อหลอมจิตวิญญาณและพระอัจฉริยภาพอย่างแท้จริงสมเด็จย่าของพระองค์หรือสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ได้ทรงมอบความรักและความอบอุ่นอย่างมหาศาลทรงเป็นผู้ขัดเกล่าเจ้าหญิงน้อยให้เติบใหญ่ขึ้นอย่างสง่างามและสมบูรณ์พร้อมในทุกด้านทรงถ่ายทอดศิลปะ
วิทยาการแขนงต่างๆตั้งแต่งานศิลปะหัถกรรมอันประณีตของไทยไปจนถึงสุนทิยศาสตร์แห่งแฟชั่นและเครื่องแต่งกายซึ่งได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของพระปรีชาในเวลาต่อมาขณะเดียวกันนั้นเองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9ผู้ทรงเป็นทูลกระหม่อมปู่ก็ได้ทรงปลูกฝังความวิริยอุตสาหะความอดทนและความรักในกีฬาให้แก่พระราชนัดาภาพที่ผสมนิกรได้เห็นจนชินตาคือภาพของเจ้าหญิงน้อยที่ทรงม้าเคียงข้างทูลกระหม่อมปู่ทรงเรียนรู้ที่จะบังคับม้าตัวใหญ่ให้เชื่องดั่งใจซึ่งเป็น
ภาพสะท้อนเชิงสัญลักษณ์ของการเรียนรู้ที่จะควบคุมและนำพาชีวิตของพระองค์เองให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและสง่างามปรัชญากรีโบราณกล่าวว่าจงรู้จักตนเองและดูเหมือนว่ากระบวนการนี้คือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงเรียนรู้และปฏิบัติมาโดยตลอดการเจริญพระชันษาในพระบรมมหาราชวังที่แวดล้อมไปด้วยผู้ทรงคุณธรรมและประวัติศาสตร์ที่จับต้องได้คือการเดินทางเพื่อค้นหาตัวตนที่ลึกซึ้งที่สุดพระองค์ไม่ได้ทรงถูกเลี้ยงดูให้เป็นเพียงเจ้าหญิงในเทพนิยาย
ที่รอคอยโชคชะตาแต่ทรงถูกบ่มเพาะให้เป็นนักสู้ผู้พร้อมที่จะสร้างโชคชะตาด้วยพระองค์เองความเข้มแข็งที่ซ่อนอยู่ภายใต้พระสิริโฉมอันงดงามนั้นคือผลลัพธ์ของการฝึกฝนทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างหนักหนวกทุกอย่างพระเสโทที่หลั่งริมในสนามกีฬาทุกชั่วโมงที่ทรงทุ่มเทให้กับงานศิลปะล้วนแล้วแต่เป็นการเจียรในเพชรเม็ดงามที่ชื่อสิริววรรณวรีให้ค่อยๆเปล่งประกายเจิดจรัดยิ่งขึ้นรอวันที่จะส่องสว่างไปทั่วทั้งแผ่นดินหากปฐมบทคือการลิขิตของดวงดาวบท
ที่2นี้ก็เปรียบเสมือนการขางรับลิขิตนั้นด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นการเดินทางกลับมาตามคำทำนายได้เสร็จสิ้นลงแล้วแต่การเดินทางเพื่อสร้างตำนานบทใหม่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นจากเจ้าหญิงน้อยผู้คืนสู่มาตุภูมิบัดนี้พระองค์กำลังจะทรงเติบใหญ่เป็นพลังสำคัญแห่งยุคสมัยใหม่เป็นดั่งสะพานที่เชื่อมโยงระหว่างรากเหง้าแห่งประเพณีอันรุ่มรวยกับยอดอ่อนแห่งความทันสมัยของโลกอนาคตเรื่องราวในบทต่อไปจะแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงใช้พระ
ปรีชาสามารถที่ได้รับการหล่อหลอมมานี้เพื่อค้ำชูราชวงศ์ในมิติที่ลึกซึ้งและน่าทึ่งกว่าที่ใครๆเคยคาดคิดไว้ได้อย่างไรเพราะบางครั้งการค้ำจุนที่แข็งแกร่งที่สุดอาจไม่ได้มาในรูปแบบของอำนาจแต่มาในรูปแบบของแรงบันดาลใจในหน้าประวัติศาสตร์อันยาวนานของโลกมักมีบุคคลสำคัญที่ถือกำเนิดขึ้นณจุดบรรจบของยุคสมัยเก่าและใหม่พวกเขามิใช่เพียงผู้สืบทอดมรดกแต่ยังเป็นผู้สร้างสรรค์อนาคตเป็นดั่งสะพานเชื่อมระหว่างรากเหง้าที่ยังลึกกับกิ่ง
ก้านที่แตกยอดไปสู่ท้องฟ้าสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิริวรรณวรีนารีรัตน์ราชกัญยาทรงเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของบุคคลเช่นนั้นหากคำทำนายในอดีตคือการวางศิลาฤกษ์พระปรีชาสามารถและความมุ่งมั่นของพระองค์ในปัจจุบันก็คือการก่อร่างสร้างสถาปัตยกรรมแห่งยุคสมัยให้เป็นที่ประจักษ์พระองค์ไม่ได้ทรงค้ำชุนราชวงศ์ด้วยการดำรงอยู่เฉยๆแต่ทรงขับเคลื่อนและสร้างความหมายใหม่ให้แก่บทบาทของสถาบันผ่าน2วิถีทางที่ดูแตกต่างหากแต่กลับสอดประสานกันได้อย่างลงตัวนั่นคือวิถีแห่ง
นักรบในสนามกีฬาและวิถีแห่งศิลปินบนเวทีแฟชั่นระดับโลกบนหลังอาฉาพระองค์คือเจ้าฟ้านักรบภาพของเจ้าหญิงไทยในชุดขี่ม้าสง่างามควบอาชาฝ่าเครื่องกีดขวางในสนามแข่งขันระดับนานาชาติคือภาพจำที่ทรงพลังและสร้างแรงบันดาลใจอย่างยิ่งกีฬาขี่ม้ามีใช่เพียงงานอดิเรคือการฝึกฝนความทรหดอดทนอย่างแสนสาหัสคือการสร้างวินัยอันเข้มแข็งและคือการเรียนรู้ที่จะสื่อสารกับจิตวิญญาณของสัตว์ที่ทรงพลังเพื่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวทุกเหรียญรางวัลที่ทรงได้มาไม่ว่าจะเป็นใน
ระดับซีเกมหรือเอเชียนเกมล้วนแลกมาด้วยหยาดพระเสโทและความวีรีอุตสาหะที่ไม่ต่างจากนักกีฬามืออาชีพคนอื่นคนอื่นสิ่งนี้ได้ทลายภาพจำของเจ้าหญิงในแบบเดิมๆลงอย่างสิ้นเชิงพระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่าสายเลือดแห่งราชันนั้นมาพร้อมกับจิตวิญญาณของนักสู้ที่ไม่เคยยอมแพ้ในมิตินี้การค้ำชูจึงหมายถึงการเป็นแบบอย่างของความมุ่งมั่นคือการพิสูจน์ให้เยาวชนและคนไทยทั้งชาติได้เห็นว่าไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดเช่นไรความสำเร็จที่แท้จริงล้วน
เกิดจากความพยายามของตนเองในอีกบทบาทหนึ่งภายใต้แสงไฟเจิดจ้าของรันเวปารีสแฟชั่นCorพระองค์คือเจ้าฟ้าดีไซเนอร์แบรนด์Srnavariไม่ใช่เป็นเพียงชื่อแต่คืออาณาจักรแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นด้วยพระองค์เองที่ซึ่งมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของไทยถูกนำมาตีความใหม่และถักทอเข้ากับศิลปะการออกแบบร่วมสมัยได้อย่างน่าอัศจรรย์ผ้าใหม่ไทยลวดลายโบราณถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นชุดราตรีที่ทันสมัยงานปักสลักดิ้นที่เคยเห็น
ในโขนละครถูกนำมาประดับบนเสื้อผ้าที่คนทั่วโลกปรารถนาจะสวมใส่พระองค์ทรงทำหน้าที่เป็นดั่งทูตทางวัฒนธรรมนำพระจิตวิญญาณของความเป็นไทยก้าวไปสู่เวทีโลกทำให้ทั่วโลกได้เห็นว่าเอกลักษณ์ไทยนั้นไม่ใช่สิ่งที่หยุดนิ่งอยู่ในพิพิธภัณฑ์แต่เป็นแรงบันดาลใจที่มีชีวิตและสามารถปรับตัวเข้ากับยุคสมัยได้อย่างสง่างามการค้ำจุนในมิตินี้จึงเป็นการสร้างพลังละมุนหรือsoftpowerที่ทรงคุณค่ามหาศาลคือการทำให้สถาบันเป็นที่รักและชื่นชมผ่าน
งานศิลปะที่จับต้องได้และเข้าถึงง่ายนักตราชคงจื้อเคยกล่าวไว้ว่าผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงไม่ใช่ผู้ที่ไม่เคยล้มแต่คือผู้ที่ลุกขึ้นได้ทุกครั้งที่ล้มชีวิตและผลงานของเจ้าฟ้าสิริวรรณวรีคือบทพิสูจน์ของปรัชญานี้จากความผันผวนในวัยเยาวสู่การลุกขึ้นยืนหยัดอย่างสง่างามบนเวทีโลกพระองค์ทรงเป็นทั้งนักกีฬาและศิลปินทรงเป็นทั้งผู้สืบสาและผู้สร้างสรรค์ความสำเร็จที่หลากหลายนี้มิใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นผลลัพธ์ของการหลอมรวมพรสวรรค์เข้ากับความพากเพียรอย่างสมบู
แบบพระองค์กำลังทรงเขียนคำจำกัดความของคำว่าเจ้าหญิงขึ้นมาใหม่สำหรับศตวรรษที่21ซึ่งไม่ใช่เพียงผู้สูงศักดิ์โดยกำเนิดแต่คือผู้นำทางความคิดและเป็นสัญลักษณ์แห่งศักยภาพภาพอันไร้ขีดจำกัดของมนุษย์และนี่คือวิธีการค้ำจุนสถาบันที่ทันสมัยและยั่งยืนที่สุดคือการทำให้สถาบันเป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจแห่งยุคสมัยเมื่อเราเดินทางมาถึงบทสุดท้ายของเรื่องราวนี้คำถามสำคัญจึงย้อนกลับมาอีกครั้งสิ่งที่เราได้เห็นทั้งหมดนี้คือโชคชะตา
ที่ฟ้าดิ้นได้ลิขิตไว้ในคำทำนายหรือคือผลลัพธ์จากพระวิริยะอุตสาหะของเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งที่ทรงเลือกจะกำหนดเส้นทางชีวิตด้วยพระองค์เองบางทีคำตอบที่แท้จริงอาจไม่ได้อยู่ที่การเลือกระหว่าง2สิ่งนี้แต่อยู่ที่การยอมรับว่าทั้งสองสิ่งได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์แล้วเปรียบดั่งผืนผ้าที่เส้นได้แนวตั้งคือพรหมลิขิตและเส้นได้แนวนอนคือการกระทำซึ่งต้องถักท้อเข้าด้วยกันจึงจะเกิดเป็นผืนผ้าแห่งชีวิตที่งดงามและมีความหมายการ
ดำรงอยู่ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิริวัณวลีนารีรัตน์ราชกัญยาคือจุดที่ฟ้าและดินได้บรรจบกันอย่างแท้จริงในปัจจุบันบทบาทของพระองค์ได้ขยายขอบเขตไปไกลเกินกว่าเพียงนักกีฬาหรือดีไซน์เนอร์พระองค์ทรงเป็นสัญลักษณ์ของการทูตเชิงวัฒนธรรมที่ทรงพลังทุกครั้งที่เสด็จไปปฏิบัติพระกรณีต่างแดนฉลองพระองค์ที่ทรงออกแบบเองซึ่งผสมผสานเอกลักษณ์ไทยได้กลายเป็นที่กล่าวขานไปทั่วโลกเป็นการประกาศให้โลกรู้ถึงความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมของสยามประเทศโดยไม่ต้องใช้คำพูด
แม้แต่คำเดียวนอกจากนี้พระองค์ยังทรงเป็นศูนย์รวมใจของคนรุ่นใหม่จำนวนมากผู้ซึ่งมองเห็นในตัวพระองค์ไม่ใช่เพียงเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์แต่เป็นไอดอลที่เป็นแบบอย่างของการทำงานหนักการไล่ตามความฝันและการสร้างคุณค่าให้แก่ตนเองและสังคมการค้ำชูราชวงศ์ในวันนี้จึงมิใช่เพียงการทำรงรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมแต่ยังรวมถึงการสร้างความผูกพันทางใจกับผู้คนในยุคปัจจุบันทำให้สถาบันยังคงเป็นที่เคารพรักและเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย
ได้อย่างยั่งยืนหากย้อนกลับไปมองคำทำนายแต่โบราณที่ว่าดวงพระชะตาของพระองค์จะช่วยค้ำจุนราชวงศ์จักรีเราอาจตีความได้ในวันนี้ว่าการค้ำจุนนั้นไม่ได้หมายถึงการป้องกันไผอันตรายในรูปแบบเดิมๆแต่หมายถึงการปรับตัวและวิวัฒนาการไปพร้อมกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วพระองค์ทรงเป็นดั่งภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดให้แก่สถาบันด้วยการสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัยเข้าถึงได้และเป็นที่ยอมรับในระดับสากลทรงเป็นข้อพิสูจน์ที่มีชีวิตว่าสถาบันพระ
มหากษัตริย์ไทยสามารถที่จะคงอยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตยและโลกยุคใหม่ได้อย่างสง่างามและสมพระเกียรติเพราะแก่นแท้ของการดำรงอยู่ไม่ใช่การหยุดนิ่งแต่คือการเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมีรากฐานที่มั่นคงท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวของเจ้าหญิงสิริวรรณวรีและคำทำนายก็ได้สอนปรัชญาอันลึกซึ้งแก่เราว่าโชคชะตาอาจเป็นผู้ชี้ทางแต่2มือและการตัดสินใจของเราต่างหากที่เป็นผู้สร้างเส้นทางนั้นขึ้นมาคำทำนายในวันนั้นอาจเป็นเพียงเสียงกระซิบจากดวงดาว
แต่เสียงที่ดังกึกก้องอยู่ในวันนี้คือเสียงแห่งความสำเร็จที่เกิดจากพระปรีชาสามารถและความมุ่งมั่นของพระองค์เองตำนานของเจ้าหญิงผู้ค้ำชูราชวงศ์จักรีจึงไม่ใช่ตำนานที่ถูกเขียนไว้ล่วงหน้าจนจบแต่เป็นมหากราบที่ยังคงดำเนินต่อไปและทุกย่างก้าวของพระองค์นับจากนี้ก็คือการเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเพื่อให้สถาบันอันเป็นที่รักยิ่งนี้ยังคงสถิตสถาภรณเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตราบนานเท่านานดั่งดวง
ดาวที่แม้จะโคจรผ่านกาลเวลาแต่ก็ยังคงส่องสว่างนำทางอยู่บนฟากฟ้าเสมอไป
